วิธีการใช้เครื่องปรับอากาศในรถยนต์ที่ถูกต้อง
ทุกครั้งที่จะสตาร์ต เครื่องยนต์ ควรตรวจดูสวิตช์ควบคุม คอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ว่าอยู่ในลักษณะใด เปิดหรือปิด ถ้าหากเปิดอยู่ให้กดปิดเสียก่อน ที่จะสตาร์ตเครื่องยนต์ เพื่อไม่ให้คอมเพรสเซอร์ต้านทานการหมุนของเครื่องยนต์ในขณะสตาร ์ต
เมื่อ เครื่องยนต์ติดเรียบร้อยแล้ว ให้เปิดสวิตช์พัดลมของเครื่อง ปรับอากาศก่อน โดยปรับไปที่ตำแหน่งความเร็วสูงสุด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที เพื่อไล่ลมร้อนออกจาก ช่องปรับอากาศ หลังจากนั้นจึงเปิดสวิตช์ควบคุมคอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ปรับสวิตช์ที่ใช้ปรับระดับความเย็นไปที่ตำแหน่งเย็นสุด แล้วจึงปรับสวิตช์ควบคุมความเร็วของพัดลม และสวิตช์ควบคุมระดับความเย็น ลงสู่ตำแหน่งที่สัมพันธ์กับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารตามต้องการ
เมื่อ เลิกใช้งานก่อนที่จะดับเครื่องยนต์ ควรปิดสวิตช์ คอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ก่อนเพื่อหยุดการทำงานของคอมเพรสเซอร์ แต่ยังคงเปิดสวิตช์พัดลงแอร์ไว้ในตำแหน่งที่แรงสุด เพื่อให้พัดลมแอร์เป่าลมผ่านตัวคอยล์เย็น หรือที่รู้จักกันดีว่า "ตู้แอร์" ซึ่งตัวคอยล์เย็นนี้จะมีสภาพที่เปียกชื้น และมีหยดน้ำมาเกาะอยู่ ในขณะที่คอมเพรสเซอร์ทำงาน และเพื่อเป็นการไล่ความชื้นออกจากตัวคอยล์เย็นให้เร็วขึ้น วิธีนี้เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความอับชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แอร์มีกลิ่นเหม็นอับ รวมทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวคอยล์เย็นให้ผุกร่อนช้าลง กว่าเดิม ขั้นตอนนี้ใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น
สำหรับปัญหาการ เกิดกลิ่นอับที่ออกมาจากช่องปรับอากาศ สามารถแก้ไขได้โดย จอดรถในที่โล่งแจ้ง ที่แดดส่องได้อย่างทั่วถึง จากนั้นเปิดประตูรถให้หมดทุกบาน จอดรถตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือจนกว่ากลิ่นอับจะจางหายไป แต่ถ้ากลิ่นอับยังคงรุนแรงเหมือนเดิม ควรนำรถเข้าตรวจเช็กที่ศูนย์บริการใกล้บ้าน
อย่างไรก็ดี การป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นอับภายในห้องโดยสารน่าจะเป็นการ ดีกว่าแก้ไข โดยหลีกเลี่ยงการนำเอาอาหารเข้าไปรับประทานภายในรถ โดยเฉพาะอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น ทุเรียน เป็นต้น หลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอมปรับอากาศ การสูบบุหรี่ในรถ การขับรถเปิดกระจก เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้คอยล์เย็นหรือตู้แอร์สกปรก และอุดตันเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งเกิดกลิ่นอับอันเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ด้วยเช่นกัน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น