วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เลือกรถให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ มีปรากฎการณ์แปลกใหม่เกิดขึ้นบนท้องถนนมากขึ้นทุกที นั่นคือ คนไทยเราเลือกรถใช้งานผิดประเภทกันมากมาย
ในฐานะที่เป็นผู้มีโอกาสสัมผัสกับรถและผู้ใช้รถค่อนข้างมาก กับความสนใจส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีปรากฎการณ์แปลกใหม่เกิดขึ้นบนท้องถนนมาก ขึ้นทุกที นั่นคือคนไทยเราเลือกรถใช้งานผิดประเภทกันมากมาย ก่อนที่จะมาคุยกันในรายละเอียดผมขอ "ฉาย" ภาพตัวอย่างที่เห็นชัดๆ ให้ดูกันก่อนก็แล้วกันนะครับ
รายแรกเป็น ผู้หญิง ที่มีฐานะดี ขับรถเองคนเดียวตลอด จะมีอะไรเหมาะไปกว่ารถที่คนคลั่งไคล้กันทั่วโลก เป็นรุ่นเล็กสุด ซึ่งดูแล้วก็เหมาะสมไปหมดทุกด้านนะครับ ไม่มีปัญหาทางเทคนิค ไม่มีปัญหากับอู่ซ่อม แต่อยู่มาวันหนึ่งก็ขายไปเสียเฉยๆ แล้วไปซื้อรถอเนกประสงค์ค่ายญี่ปุ่น เอามาขับคนเดียวเหมือนเดิม เรื่องความสบายขณะขับนั้นไม่มีทางเทียบกับคันเดิมได้อยู่แล้ว (เพราะผมเคยลองขับมาทั้งสองรุ่นนี้)
ยังมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพิ่มมาอีก คือพื้นรถคันใหม่นี้สูงกว่าคันเก่ามาก ขึ้นลงแต่ละครั้งก็ลำบากกว่า น้ำมันเชื้อเพลิงก็เปลืองกว่า เวลาเลี้ยวก็โคลงกว่า เสียงเครื่องยนต์เสียงรบกวนจากภายนอกก็ดังกว่า เจ้าตัวบอกว่าตอนนี้ผู้หญิงสมัยนี้เขากำลังนิยมรุ่นนี้กัน เศร้าใจครับ
รายที่สอง เป็นชายโสด ถ้าจะมีคนนั่งไปด้วย ก็เพียงอีกหนึ่งคนด้านหน้า ไปซื้อรถแวนขนาดเล็กรุ่นใหม่มาคันหนึ่ง ผมเคยลองใช้ดูเกินหนึ่งวันเหมือนกัน บอกได้เลยครับ ถ้าขับนานๆ เหนี่อยกว่ารถเก๋งระดับเดียวกันมาก จอดก็ยากกว่า เวลาเลี้ยวตามทางแยกที่แคบ ก็ไม่ให้ความรู้สึกดีเหมือนรถเก๋ง เพราะตัวคนขับนั่งอยู่ "บน" ล้อหน้า สอบถามเหตุผลที่ใช้ ได้ความว่า ใช้รถเก๋งมาหลายคันแล้ว เท่านี้เองครับเหตุผล
รายที่สาม เป็นชาย ฐานะดีมาก ซื้อรถราคา 5-6 ล้าน ได้โดยไม่ต้องคิดมาก ชอบขับรถเร็ว ค่อนข้างสำอาง เรื่องบุกป่าฝ่าดงไม่ต้องมาชวนให้เสียเวลา ใส่สูทไปทำงานทุกวัน เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเหมาะเท่ารถเก๋งชั้นดีจากเยอรมนีสักคัน กลับไปซื้อรถขับเคลื่อนสี่ล้อรุ่นยักษ์ของญี่ปุ่นมาขับ ล้อไม่เคยสัมผัสดินหรือลูกรัง ถ้าทางโล่งก็ขับเกิน 160 กม./ชม. เสมอ ค่าน้ำมันไม่ต้องพูดถึงครับ เครื่องยนต์ 8 สูบ รถเปล่าหนัก 2 ตันครึ่งเข้าไปแล้ว พื้นที่หน้าตัดเกือบสองเท่าของรถเก๋งขนาดย่อม ถึงจะบอกว่ามีเงินเติมน้ำมันไม่อั้น ผมก็ว่าน่าเศร้าและสังเวชอย่างยิ่ง
รายที่สี่ เป็นชายโสด รายได้ดี ไม่ต้องซื้อของเข้าบ้านเอง ไม่มีอะไรให้ต้องใช้รถขนส่ง ชอบรถเก๋งอยู่แล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่พอเห็นรถที่เลือกแล้วก็งงครับ ไปซื้อรถสเตชันแวกอน หรือรถตรวจการณ์มาใหม่เอี่ยม สอบถามเหตุผลได้ความว่า ซื้อเพราะรุ่นนี้มีคนซื้อน้อยกว่ารุ่นเก๋ง จึงน่าจะขับแล้วเท่กว่า (แปลว่าอะไรผมก็ไม่ทราบได้) รถสเตชันแวกอนมีข้อดีและข้อด้อยอย่างไร ค่อยมาคุยกันตอนท้ายครับ
ยังมีตัวอย่างที่ยกมาให้เห็นกันได้อีกหลายรายครับ แต่ผมขอพักไว้เพียงเท่านี้ก่อน แล้วเรามาดูกันเลยดีกว่าว่ารถแบบไหนเหมาะกับการใช้งานแบบใด หรือกับใคร

จุดเด่น จุดด่อย ขับเคลื่อนสี่ล้อ ...

แบบแรก รถขับเคลื่อน 4 ล้อ (ที่ไม่ใช่รถเก๋ง) เป็นรถอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้เกือบทุกที่ ทุกโอกาส เช่นใช้ในเมือง เดินทางไกล ลุยน้ำลุยโคลนหลุมบ่อ เข้าไร่ นา สวน แต่ถ้าจะซื้อมาใช้ต้องถามตนเองก่อนครับ ว่าเรามีโอกาสหรือต้องการใช้งานมัน แบบที่ผมยกตัวอย่างมานี้หรือเปล่า
เพราะถ้าเอามาใช้งานในเมืองอย่างเดียว เราก็จะไม่ได้ประโยชน์ด้านดีของมันเลย แต่กลับได้แต่ด้านลบ หรือด้านเลวของมันล้วนๆ คือ สะเทือน (แม้ว่าบางรุ่นจะนุ่มระดับรถเก๋งชั้นดีก็ตาม) โคลง (เพราะตัวถังสูง และตัวเราก็นั่งในตำแหน่งสูงตาม) กินน้ำมันมหาศาล (ถึงจะเป็นเครื่องดีเซลก็ตาม) ขึ้นลงลำบาก เข้าซอยแคบลำบาก เข้าจอดลำบาก กลับรถยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะมุมเลี้ยวล้อหน้าน้อย แล้วยังคันยาวใหญ่อีกด้วย การทรงตัวก็ไม่ดีเท่าที่ควร บางคนอาจแย้งว่ารุ่นที่แพงมากๆ ก็ทรงตัวดีได้ต้องเทียบกับรถเก๋งราคาเดียวกันครับ ถึงจะยุติธรรมและถูกต้อง
ผมว่าพวกเราจำนวนไม่น้อย ถูกล้างสมองให้เอาอย่าง ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยภาพยนต์จากฮอลลีวูดของสหรัฐฯ แดนฟุ่มเฟือย เพราะเราจะเห็นพระเอก นางเอกผู้ร้าย ใช้รถประเภทนี้กันบ่อยมาก มันมีเหตุผลอยู่ในตัวของมันครับ ต้องดูรายได้ของพวกเขา แล้วดูค่าครองชีพ ดูราคาน้ำมันเชื้อเพลิง สัดส่วนรายได้ต่อราคาน้ำมันจะเป็นตัวตัดสินครับว่าเขาใช้ได้ แต่พวกเรานั้นไม่เหมาะ ภูมิประเทศของเขาก็ต่างกับของเรา พวกเขามีไร่ (Ranch) มีบ้านชนบท ที่ทางเข้าไม่เลวร้ายแต่ก็ไม่ใช่ถนนเรียบ รถประเภทนี้จึงเหมาะหรือจำเป็นสำหรับพวกเขา เมืองไทยต่างกันครับ ไปไหนก็มีถนนดีรออยู่ เพราะพวกเราชอบสบาย ใครมีที่ท่องเที่ยวที่ทางเข้าไม่ดีก็เตรียมตัว "เจ๊ง" ได้เลย
คราวนี้ก็มาถึงเรื่องใหญ่ที่เข้าใจกันผิดกันอย่างมาก ผมได้ยินอยู่เสมอว่าพวกเราอยากได้รถประเภทนี้ไว้เที่ยวทางไกล หรือเอาไว้เดินทางไกล รถประเภทนี้ไม่มีอะไรเหมาะสมกับการเดินทางไกลทั้งสิ้นครับ ก็ด้วยข้อเสียต่างๆ เหมือนกับที่เอามาใช้เมืองนั่นเอง เหมือนกันทุกข้อครับ บางคนบอกว่าเอาไว้พาสมาชิกครอบครัวหลายคนไปเที่ยวทางไกล ก็ไม่มีเหตุผลอะไรรองรับครับ เพราะมันไม่ได้จุคนได้มากเป็นพิเศษ แม้จะมากเป็นรุ่นใหญ่ ก็ยังไม่เหมาะสมอยู่ดี กรณีแบบนี้ มีรถที่เหมาะสมจริงๆ คือรถตู้ หรือรถแวน ซึ่งเราจะดูข้อดีและข้อเสียของมันกันเลยครับ

รถแวน (VAN)

รถแวน (VAN) หรือรถตู้นั้น เดิมทีในความหมายแท้ๆ ของมันคือรถตู้ทึบสำหรับขนของครับ แล้วก็มีคนดัดแปลงทำเป็นที่อยู่ภายในกันบ้าง ทำเป็นรถโดยสารบ้าง ตอนหลังโรงงานรถยนต์ก็เลยทำขายเสียเลย ส่วนใหญ่จะมีที่นั่งอย่างน้อยสามแถว เรียกว่าสามตอนน่าจะถูกกว่านะครับ ตอนนี้คงเข้าใจกันแล้วนะครับ ว่าพวกเราเอาคำนี้ไปใช้เรียกรถตรวจการณ์หรือสเตชั่นแวกอนกันอย่างผิดๆ มาตลอด รถแวนต้นตำรับในสหรัฐอเมริกานั้น ขนาดใหญ่มาก คนชาตินี้เขาชอบของใหญ่ของสบายไว้ก่อน เรื่องสิ้นเปลืองไม่ค่อยถือว่าสำคัญ รถแวนรุ่นใหญ่สำหรับพวกเขาหรือชาวยุโรป เช่น ไครสเลอร์ วอยาเจอร์/โฟล์คสวาเกน ชาราน/เรอโนลด์ แอสปาศ ชาวสหรัฐฯ จะเรียกว่ามินิแวน
ถ้าจะพูดแบบไม่เป็นทางการ ไม่เน้นความถูกต้อง ก็ต้องบอกว่ารถแวนหรือรถตู้คือรถเก๋งหรือรถตรวจการณ์ที่นั่งได้สามตอน จุผู้โดยสารได้มากกว่ารถเก๋งปกติ เพราะฉะนั้นถ้าต้องการขนคนไม่ว่าจะในเมืองหรือเดินทางไกล แล้วรถเก๋งคับแคบที่นั่งน้อยเกินไป ต้องหันมาหารถแวนครับอย่าไปซื้อรถกิจกรรมกลางแจ้ง หรือ SUV (SPORT UTILITY VEHICLE) มาใช้
ข้อดีของรถแวนคือการขนผู้โดยสารได้มากๆ หรือจะพับเก้าอี้ตอนหลัง แล้วเปลี่ยนเป็นผู้โดยสารค่อนข้างมาก บวกกับสัมภาระก็ได้ แต่อย่างเอามานั่งคนเดียวโด่เด่กับพนักงานขับรถเลยครับ เพราะตัวรถมันหนักเอาการ พื้นที่หน้าตัดก็มาก เปลืองน้ำมันเปล่าๆ ถ้าจะใช้ให้ถูกต้อง ก็ควรเป็นผู้บริหารที่จำเป็นต้องรับแขกระดับสูง หรือมีการประชุมย่อยในรถกันค่อนข้างบ่อย อาจจำเป็นต้องหันหน้ามาชนกันถกปัญหากันแบบเห็นหน้าเห็นตา แบบนี้ถึงจะถือว่าใช้ถูกประเภท ดูเหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของเรา จะช่วยโฆษณารถแวนยี่ห้อหนึ่งได้อย่างมากมาย เพราะก้าวขึ้นลงให้ชมในข่าวภาคค่ำทุกวัน จนรถรุ่นนี้ขายดิบขายดี เพราะคนไทยเราเอาอย่างได้โดยไม่ต้องหาเหตุผล

แล้วรถตรวจการณ์ล่ะ

แล้วรถตรวจการณ์ล่ะ เป็นแบบไหน และใครควรใช้ อธิบายกันแบบไม่เป็นทางการก็คือ รถตรวจการณ์ก็คือรถเก๋งที่นั่งสองตอนปกติ ซึ่งถูกดัดแปลงที่เก็บของท้ายรถ โดยตัวหลังคาเลยมาจนสุดด้านหลังมีกระจกด้านข้าง และมีประตูใหญ่ด้านท้ายอีกหนึ่งบาน สมัยก่อนจะแบ่งครึ่งเป็นสองชื้น ด้านล่างเป็นเหล็กของตัวถังเปิดลง ส่วนด้านบนเป็นกระจกเปิดขึ้น สมัยนี้เป็นประตูใหญ่บานเดียวเปิดขึ้นโดยไม่หนักแรง เพราะมีสปริงความดันแบบแกสช่วยรองรับรถสเตชันแวกอนจึงต่างจากรถเก๋งตรงที่ สะดวกกว่าในการขนสัมภาระขึ้นหรือลง ถ้าจำเป็นก็สามารถใส่สัมภาระได้จนยันหลัง และถ้ายังไม่พอก็ยังพับพนักพิงของที่นั่งแถวหลังลง ได้เนื้อที่ขนของอย่างมหาศาลครับ
ใครที่มีอาชีพที่ต้องขนสัมภาระขึ้นลงบ่อย หรือชอบจ่ายตลาดทีละมากๆ สมควรอย่างยิ่งครับที่จะใช้รถแบบนี้ เพราะสะดวกกว่ารถเก๋งมากมาย แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นก็อย่าไปใช้ เพราะไม่ได้อะไรขึ้นมา บางรุ่นช่วงล่างหลังจะสู้รถเก๋งไม่ได้ เพราะต้องดัดแปลงให้ที่เก็บของท้ายรถแบนเรียบเสมอกันตลอด เพื่อให้จุของได้มาก ปริมาตรอากาศในห้องโดยสารก็มากกว่ารถเก๋ง เปิด "แอร์" แล้ว จะเย็นช้ากว่า และสิ้นเปลืองกว่าด้วย เพราะความร้อนเข้าสู่ห้องโดยสารได้มากกว่า กระจกบานหลังก็เลอะละอองน้ำโคลนได้ง่ายกว่ารถเก๋งหลายเท่า ถึงจะมีใบปัดน้ำฝนพร้อมที่ฉีดน้ำ ก็ทำความสะอาดได้เพียงพื้นที่ส่วนหนึ่งที่เป็นรูปพัดเท่านั้น เกือบลืมบอกไปครับ ผมเลือกคำว่าสเตชันแวกอนเพราะคิดว่าพวกเราคุ้นกันมากที่สุด คือเรียกตามชาวสหรัฐอเมริกา ส่วนชาวอังกฤษจะเรียกว่า เอสเตท (ESTATE) เยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศส ก็เรียกในภาษาของเขา ขอไม่เอ่ยถึงให้ปวดหัวนะครับ ส่วนของไทยแปลกันไว้นานกว่า 50 ปี แล้วว่ารถตรวจการณ์ ซึ่งก็ให้ความหมายที่ดีพอ

รถกระบะ

ขอปิดท้ายด้วยกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด ซึ่งก็คือรถกระบะขนาดเล็ก หรือขนาดน้ำหนักบรรทุก 1 ตัน (1,000 กก.) หรือระรถพิคอัพนั่นเอง การที่เมืองไทยเป็นประเทศที่ผลิตรถพิคอัพ เป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกานั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง แต่ผมไม่เคยเห็นด้วยกับการใช้รถผิดประเภท สำหรับผู้ที่มีอาชีพหรืองานอดิเรกที่ต้องขนของที่ใช้รถเก๋ง หรือสเตชันแวกอนขนไม่ได้ แน่นอนครับว่ารถพิคอัพคือยานพาหนะประเสริฐ ที่หาอะไรมาแทนไม่ได้ อาจมีข้อยกเว้นอยู่บ้างคือแม้จะไม่ต้องบรรทุกของ แต่สิ่งแวดล้อมต่างๆ ของผู้ใช้ แย่เกินกว่าที่จะใช้รถเก๋ง
ผิด จากนี้ไปแล้ว ใครที่ใช้รถพิคอัพก็จะได้แต่ด้านเสียของมันแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งมีอยู่หลายข้อด้วยกัน คือ ประตูน้อย ขึ้นลงลำบาก ห้องโดยสารคับแคบ การทรงตัวที่ความเร็วสูงไม่ดีพอ สะเทือน ระยะเบรคยาวกว่ารถเก๋งมาก เรื่องนี้เรื่องใหญ่ครับ เพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยโดยตรง ระบบเบรคล้อหลังของรถพิคอัพเป็นปัญหาใหญ่ของผู้ออกแบบผู้ผลิตมานานแล้ว เพราะเวลาบรรทุกเต็มพิกัดต้องเบรคได้แรงพอ คราวนี้พอไม่บรรทุก แรงเบรคมักจะเกินจนล้อล๊อค ถึงจะมีระบบควบคุมแรงเบรคตามน้ำหนักบรรทุกอยู่ ก็เป็นแบบหยาบครับ บางทีก็ชำรุดอยู่นานแล้ว ถึงจะทำงานได้ดีเป็นปกติ ก็ยังมีระยะเบรคยาวเกินกว่ารถเก๋งมากอยู่ดี เป็นระยะทางหลายเมตรที่จะตัดสินว่าจะชนหรือไม่ จะเจ็บมากหรือเจ็บน้อย จะรอดหรือตายได้นะครับ
และข้อสุดท้ายคือเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งไม่มีอะไรได้เปรียบนอกจากค่าเชื้อ เพลิง เพราะทั้งดัง ทั้งสั่น และไม่มีแรง ถ้าความจุของเครื่องยนต์เท่ากัน เครื่องดีเซลจะแรงน้อยกว่าเครื่องเบนซินหลายสิบเปอร์เซนต์ การที่มีเทอร์โบชาร์เจอร์ ไม่ได้หมายความว่าเป็น "เครื่องแรง" นะครับ เพียงแค่ชดเชยให้มีกำลังพอๆ กับเครื่องเบนซินธรรมดาเท่านั้น
ใครที่เคยใช้แต่รถกระบะเครื่องยนต์ดีเซล ลองหาโอกาสขับรถเก๋งเครื่องยนต์เบนซินให้นานพอ ก็จะเห็นความแตกต่างอย่างมาก คนที่มีความละเอียดพอ จะไม่สามารถทนความหยาบ เสียงรบกวน "ความเหี่ยว" ไม่มีแรงของเครื่องดีเซลได้เลยครับ ถ้าคนไทยรู้ความแตกต่าง รู้คุณค่ากันมากกว่านี้ ไม่หลงเชื่อคำโฆษณาประเภท "มาดเข้ม" อะไรทำนองนี้ แล้วหันมาใช้รถเก๋งกันอย่างรู้คุณค่า อากาศที่พวกเราหายใจกันจะสะอาดกว่านี้มาก
คนไทยกำลังจะป่วยกันเพราะเขม่าของเครื่องดีเซลจนถึงขั้นวิกฤติครับ เป็นมฤตยูใหม่ที่มาแทนควันขวาอันร้ายกาจของจักรยานยนต์สองจังหวะ ไม่ว่าผู้บริโภคจะซื้อรถอะไรมาใช้ เงินก็สะพัดเหมือนกันแหละครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ในการสนับสนุนให้คนไทยใช้รถกระบะเครื่องดีเซลกันจนเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด สรุปแล้วก็คือถ้าสำรวจตัวเองแล้ว ไม่เข้าข่ายกลุ่มต่างๆ ที่ผมยกตัวอย่างมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่ารถนั้นจะราคาสูงหรือต่ำเพียงใด รถเก๋งเท่านั้นครับที่เหมาะที่สุดสำหรับพวกเรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น